ดูทีวีดิจิตอล ซื้อทีวีแบบไหนดี LCD,LED หรือ Plasma
จะซื้อทีวี LCD, LED หรือ Plasma
ถึงวันนี้หลายๆคนที่กำลังรอลุ้นกับทีวีดิจิตอลว่าจะมีหลากหลายช่องมาให้ดูเพิ่มมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องซ์้อจานดาวเทียม รอถึงวันที่ ทีวีดิจิตอลออกอากาศจริงๆจังๆ ก็กะว่าจะหาซื้อทีวีเครื่องใหม่ที่มาพร้อมกับ DVB-T2 จูนเนอร์ในตัว หากไปด้อมๆมองๆตามร้านขายทีวีจะเห็นว่าจอ LED ราคาจะสูงกว่า LCD ส่วนจอ พลาสมายังพอมีขายแต่ถูกกว่าสมัย 7 หรือ 8 ปีที่แล้วเยอะมาก พนักงานก็มาเชียร์ว่าอย่างโน้นดีกว่าอย่างนี้ อย่างนี้ดีกว่าอย่างนั้น จะตัดสินใจซื้อแบบไหนดี
เราจะพบว่าในแง่ข้อมูลทางเทคนิคแล้ว ทางผู้ผลิตไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์อะไรมาก เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมากในหลากหลายด้าน แค่เรื่องการทำงานของหน้าจอเรื่องเดียวก็คงต้องแจกใบปลิวกันเป็นกองพะเนิน ไม่รวมถึงการที่จะต้องอธิบายถึงระบบเสียง ระบบการทำงานของจอสามมิติ สารพัดเทคโนโลยี ทำให้ผู้ผลิตอาศัยขายรูปร่างหน้าตาของตัวสินค้าเสียมากกว่า หากลูกค้าอยากถามอะไรก็ให้คนขายอธิบายเองแล้วกัน ซึ่งพนักงานขายเองความรู้ก็อาจจะยังไม่ถึงขั้น วันไหนท่านผ่านร้านขายทีวีแล้วลองถามพนักงานขายดูซะครับว่า LCD กับ LED มันทำงานต่างกันอย่างไร เชื่อขนมกินได้เลยว่าพนักงานต้องอึ้งไปซักพักแล้วอาจจะตอบมาว่า LED ชัดกว่า อ้าวเป็นงั้นไป
เราเลยจะพบว่าพนักงานขายมุ่งแต่จะเชียร์สินค้าที่อาจจะได้ค่าคอมสูง หรือไม่ถ้าบริษัทส่งมาประจำตามห้างก็จะเชียร์ยี่ห้อของตัวเอง อย่าถามเลยเรื่องเทคนิค เขาตอบไม่ได้ ตกลงจะทำอย่างไรกันละเนี่ย
ทีวีที่ไม่ควรจะซื้อมาใช้แล้วแม้จะถูกแสนถูก
ทีวีที่ว่านั้นยังเห็นมีวางขายอยู่ตามห้างใหญ่ๆ เป็นระบบอนาลอกจอแก้วหรือทางเทคนิคเรียกว่า CRT เป็นทีวีหลอดภาพซึ่งเทคโนโลยีมาถึงจุดจบของมันแล้วเหมือนเครื่องเล่นวีดีโอใช้เทปที่แทบหาซื้อไม่ได้แล้วในปัจจุบันยกเว้นทางอินเตอร์เน็ต ทีวีแบบนี้จะมีน้ำหนักมาก จอจะไม่ค่อยแบน แต่ให้แสงสว่างออกมาดี พร้อมมุมมองที่กว้างกว่าจอ LCD ที่ออกมาในช่วงแรกๆ
แต่ก็นั่นแหละท่านจะซื้อมาวางให้หนักบนโต้ะทำไม จะแขวนผนังก็ยุ่งยากต้องมีโครงเหล็กหุ้มที่รับน้ำหนักได้เยอะๆ และคงเหมาะกับการที่มีราคาอยู่ในหลักต่ำกว่า 5000 และกรณีที่ต้องวางทีวีไว้ในสถานที่ๆเสี่ยงต่อการถูกขโมยเท่านั้น
ระบบของทีวีเหล่านี้แม้บางรุ่นอาจจะเป็นดิจิตอลก็จริงแต่ระบบรับสัญญาณจากเสาอากาศยังเป็นระบบอนาลอกอยู่ ซื้อทีวีเหล่านี้ก็ต้องซื้อกล่องเพิ่ม เปลืองสาย เปลืองช่องปลั้กอีกต่างหาก
ทีวีความคมชัดสูง
ปัจจุบันตามห้างร้านก็มีขายแต่ทีวีความคมชัดสูงแล้วทั้งนั้น เพราะราคาก็ไม่ได้แพงมากแล้วในตอนนี้ คาดกว่าทีวีความคมชัดธรรมดาคงจะหายไปจากตลาดในอีกไม่ช้า ยกเว้นรุ่นจอขนาดใหญ่ๆ ที่ทีวีความคมชัดสูงอาจจะยังแพงอยู่ และจากการที่ กสทช กำหนดว่าไทยเราจะมีทีวีความคมชัดสูงถึง 7 ช่อง ก็น่าจะกระตุ้นให้ประชาชนหาเครื่องรับที่มีความคมชัดสูงกันมาก
ทีวีแบบจอ Plasma
โทรทัศน์จอแบนในยุคแรกๆจะออกมาในลักษณะของจอแบบพลาสมา หลักการทำงานก็คล้ายๆกับไฟนีออน คือในแต่ละช่องการแสดงผลหรือพิกเซลจะมีก๊าซอยู่ข้างใน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้ามาที่พิกเซลนั้นๆ ก็จะปล่อยแสงออกมา เราเรียกกระบวนการแตกตัวของอนุภาคและเปล่งแสงออกมาว่าเป็น plasma
ในแต่ละพิกเซลก็จะมีการแบ่งออกเป็นช่องย่อยเล็กๆเพื่อให้เกิดสีพื้นฐานสามสี และจะได้ผสมสีออกมาให้เป็นสีธรรมชาดได้ ภาพที่ออกมาจากแต่ละเซลจะมีความเข้มโดยการควบคุมเวลาที่ใช้ในการให้แสง เทคโนโลยีนี้นิยมกันมากเมื่อราว 10 ปีก่อนและมีราคาแพง เพราะจอ LCD สมัยโน้นยังไม่สามารถทำให้มีขนาดใหญ่ๆได้ (หรือทำได้แต่จะมีพิกเซลเสียเยอะ) โทรทัศน์แบบนีจะมีข้อเสียเรื่องแสงสะท้อนเพราะหน้าจอเป็นกระจกที่ต้องการความแข็งแรงที่จะกักเก็บก๊าซไว้ภายใน อีกทั้งน้ำหนักจะมากและจอมีความหนา และอาจจะเกิดสภาวะ Burned in คือมีเงาภาพถาวรหากเปิดภาพเดิมๆ ทิ้งไว้นานๆ
นอกจากนี้ยังเปลืองไฟมากว่าจอ LCD มาก แต่ข้อดีคืนในปัจจุบันราคาจะถูก และคิดว่าเริ่มจะหาซื้อยากแล้วเพราะ LCD, LED จะได้รับความนิยมมากกว่า
จอ LCD – Liquid Crystal Display
เป็นเทคโนโลยีผลึกเหลวทึบแสงที่ถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟิล์มบาง โดยผลึกเหลวจะทำหน้าที่เป็นเหมือนสวิทส์ปิดเปิดให้แสงผ่านไปตามการเรียงตัวของผลึกเมื่อมีสนามไฟฟ้ามาบังคับกับแต่ละพิกเซล แต่ละพิกเซลก็แบ่งย่อยเป็นสามส่วนเพื่อแสดงสีให้ได้ครบเช่นกัน จอ LCD สามารถให้ความละเอียดสูงแบบ HD (1920×1080) ได้ดี เทคโนโลยีทีวี LCD ได้รับความนิยมสูง สมัยก่อนที่ LCD ออกวางตลาดใหม่ๆ ก็ยังมีปัญหาเรื่องหน้าจอที่ผลิตจอใหญ่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นไม่มีแล้ว
จุดอ่อนของ LCD ก็อยู่ตรงที่การทำสีดำสนิทได้ไม่ดีเนื่องจากมีสีด้านหลังที่ไม่สามารถบังคับได้ 100% สีจึงไม่ตัดกันเข้ม สูญเสียความคมชัดหากแสดงผลภาพที่มีการเคลื่อนไหวเร็วเช่นฉากรถแข่ง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นอีกมาก ทำให้สามารถแสดงภาพที่มีความคมชัดได้ดีกว่าในอดีต ไม่ปัญหาเรื่องภาพเบลอ และกินไฟน้อย ซึ่งจอแบบนี้ก็ยังมีวางขายอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป
จอ LED
ถือเป็นเทคโนโลยีน้องใหม่และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เลยมีทีวีทั้งแบบ LED (Light Emitting Diodes) และ OLED (organic – LED)
ความจริงแล้วทีวี LED ก็คือทีวีแบบ LCD แต่เปลี่ยนมาเป็นการให้แสงด้านหลังจากหลอดไฟแบบ LED แทนที่จะเป็นหลอดไฟนีออนแบบเดิม ซึ่งหลอดไฟใหม่นี้จะเป็นหลอดเล็กๆกระจายไปทั่วทั้งแผงจอ และสามารถคุมความเข้มแสงได้ ภาพที่ได้จึงออกมาสดใสกว่าเดิม สีดำสนิท และความสว่างก็มากกว่า แถมจอยังบางกว่าอีกด้วย
ส่วนจอ OLED นั้นจะใช้แผ่นฟิล์มออร์แกนิคประกบอยู่ระหว่างวัสดุตัวนำที่เป็นขั้วบวกและลบ โมเลกุลบนแผ่นฟิล์มนี้จะมีคุณสมบัติเป็นตัวนำที่แปรค่าเปล่งแสงได้ ดังนั้นจึงมีลักษณะเหมือนสวิสเปิดปิดแสงที่ความเข้มต่างๆกันได้ ทำให้ไม่ต้องอาศัยแสงฉากหลังแล้วอาศัยผลึกเหลวเป็นตัวปรับระดับความสว่างอีกต่อไปเพราะ OLED นั้นแต่ละ pixel จะเปล่งแสงในตัวเอง จึงได้ภาพที่สว่างกว่า คอนทราสดีกว่าแบบ LED ธรรมดา มุมรับชมยังกว้างกว่าเพราะไม่ต้องมีความหนาของผลึกเหลว ไม่มีแสดงสะท้ดนหน้าจอ กินไฟน้อย เครื่องก็บางกว่าเบากว่าทีวีแบบอื่นๆ
แต่ปัญหาคือความสว่างจะลดลงเรื่อยๆตามอายุการใช้งาน ซึ่งประมาณกันว่าอายุใช้งานน่าจะประมาณ 5 ถึง 7 ปี อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดกันว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีคงจะสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ได้อีกในไม่ช้า
สรุปว่าหากท่านต้องการเลือกซื้อทีวี เพื่อรับชมทีวีดิจิตอลแล้วละก็ควรจะมองหาทีวีจอแบน หากงบไม่มากก็ LCD หากงบเยอะก็ LED ส่วน OLED ก็ต้องทำใจกับอายุการใช้งาน แต่หากเทียบแล้ว CRT ที่บ้านผมเองนี่ 20 ปีแล้วยังดูได้สบายๆ อยู่เลย
Leave a comment
You must be logged in to post a comment.