Tweet

นทีปลื้ม ผ่านมาแล้ว 1 ปี ทีวีดิจิตอลถือว่าไปได้สวย

ผ่านมาแล้ว 1 ปีสำหรับการผลักดันให้เกิดทีวีดิจิตอลในบ้านเรา ด้าน พ.อ. นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ทีวีดิจิตอลนั้นครบรอบการออกอากาศเป็นเวลา 1 ปีแล้ว เมื่อปลายเดือน เมษายนที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการเปลี่ยนผ่านระบบการออกอากาศทีวีของประเทศไทยจากระบบอนาลอกสู่ทีวีดิจิตอล

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ประชาชนได้รับประโยขน์มากมาย ในแง่ที่สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้หลากหลายช่องมากขึ้น จากอดีตที่มีเพียงแค่ไม่กี่ช่องมเป็นชองทีวีดิจิตอล 24 ช่องธุรกิจ ที่มีความหลากหลายทางด้านรายการ และจากการจัดอันดับ 10 ช่องยอดนิยามของคนไทย ผลปรากฏว่า ช่อง 7, 3 , workpoint, RS, Mono, ThairatTV, One, True4You, อสมท และ ช่อง 5 ตามลำดับ

การจัดอันดับที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นถึงการเกิดใหม่ของช่องทีวีมากกว่า 7 ช่อง ซึ่งจากข้อมูลพบว่าในบางเดือนจะมีช่องข่าว TNN Nation PPTV เบียดขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 10 อยู่บ้าง บางเดือนก็จะหลุดโผไป แต่ก็ถือว่ามีกลุ่มการรับชมโดยเฉพาะอยู่

พ.อ. นที มองว่า ธุรกิจทีวีดิจิตอลกำลังเข้าสู่กระบวนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ไม่มีการกระจุกตัวของรายได้อยู่ที่บางช่องเหมือนในอดีตอีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงในวงการทีวีไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว ทีวีช่องใหม่ๆ ก็ได้มีการพัฒนาเนื้อหารายการที่ดึงดูดผู้ชมมากขึ้น การจัดอันดับหรือการจัดเรตติ้งก็ดีขึ้น ประชาชนก็สามารถรับชมด้วยความคมชัดที่สูงขึ้นในระบบ HD สำหรับบางช่อง

ปัจจุบันยอดผู้ชมทีวีในระบบดิจิตอลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาสัดส่วนอยู่ที่ 27 – 28% จากเดือนมกราคมที่ยอดรับชมอยู่ที่ตัวเลข 10 – 15% ของจำนวนประชากร 65 ล้านคน

ทาง กสทช. เองก็เชื่อว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทุกรายจะยังสามารถประกอบกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่น่าจะไม่มีรายใดที่จะทำรายได้มหาศาลอยู่เจ้าเดียวได้อีกเพราะจะมีการเฉลี่ยๆ กันไปเนื่องจากจำนวนช่องที่มีมากขึ้น ด้วยมูลค่าการตลาดที่มากกว่า 80,000 ล้านบาท หากผู้ประกอบการมีการพัฒนาเนื้อหาที่ดึงดูดผู้ชมได้มากก็ย่อมที่จะอยู่รอดได้

ในประเด็นของการเลื่อนจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอลออกไป 1 ปีนั้น ทาง พ.อ. นที กล่าวว่าถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยในช่วงที่มีการเริ่มออกอกาศในช่วง เม.ย.2557 ที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองหลายอย่าง รวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจ การแจกคูปองที่ล่าช้าเป็นต้น

พ.อ. นที กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมเห็นด้วยและสนับสนุนการเลื่อนจ่าย 1 ปี จากเดิม 6 ปี เป็น 7 ปี โดยไม่มีการคิดดอกเบี้ย เพราะหากเลื่อนจ่ายโดยคิดดอกเบี้ย ก็เท่ากับว่าไม่ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพราะ 1 ปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุสุดวิสัยหลายอย่างทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจที่ชะลอตัว เมื่อ กสท.เป็นองค์กรกำกับดูแล หากช่วยเหลือแบ่งเบาภาระได้ ก็ควรทำ”

ที่มา thairath.co.th

https://www.thairath.co.th/content/496734